หน้าหลัก ธรรมะปฏิบัติ การรักษาศีล จำแนกตามประเภทบุคคล : ศีล ๓๑๑
Search:
หน้าแรก : หมวดธรรมะปฏิบัติ

“อานนท์ ! พุทธบริษัททั้งสี่ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำสักการะบูชาด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลายอันเป็นอามิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่ อานนท์เอย ! ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติอันชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอันเหมาะสม ผู้นั้นแลชื่อว่าสักการะบูชาเราด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม”

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
อาจารย์วศิน อินทสระ

"ดูก่อนอานนท์ ธรรมหนึ่งคือ..
อานาปานสติสมาธิ
ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์,
สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์,
โพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและ วิมุติให้บริบูรณ์"

“..ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรม ๒ อย่าง เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน
คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
   สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว... ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมดีแล้ว... ย่อมละราคะได้
   วิปัสสนา ที่อบรมดีแล้ว.. ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมดีแล้ว.. ย่อมละอวิชชาได้"

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้ ชื่อว่าปัญญาวิมุติ"

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

การรักษาศีล
จำแนกตามประเภทบุคคล
๑. ศีล ๕ สำหรับทุกคน ๔. ศีล ๒๒๗ ศีลสำหรับพระภิกษุ
๒. ศีล ๘ อุโบสถศีล ๕. ศีล ๓๑๑ ศีลสำหรับพระภิกษุณี
๓. ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร  
 
ศีล ๓๑๑ : สำหรับภิกษุณี

ศีล ๓๑๑ ข้อ : ศีลสำหรับพระภิกษณีุ มีในภิกขุนีปาฏิโมกข์, เป็นวินัยของภิกษุณีสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุด ดังนี้

๑. ปาราชิก ............................. ๘ ข้อ ๖. เสขิยะ ๗๕ ข้อ โดยแบ่งเป็น ๔ หมวด คือ
๒. สังฆาทิเสส ....................... ๑๗ ข้อ       สารูป ........................... ๒๖ ข้อ
๓. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ .............. ๓๐ ข้อ       โภชนปฏิสังยุตต์ ............. ๓๐ ข้อ
๔. ปาจิตตีย์ ........................ ๑๖๖ ข้อ       ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ ...... ๑๖ ข้อ
๕. ปาฏิเทสนียะ ....................... ๘ ข้อ       ปกิณณกะ ....................... ๓ ข้อ
  ๗. อธิกรณสมถะ ...................... ๗ ข้อ

รวมทั้งหมดแล้ว ๓๑๑ ข้อ
ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุณีรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว

ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘
( ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ )
ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด ๘ ประการ ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
     ๑. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
     ๒. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
     ๓. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
     ๔. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
     ๕. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
     ๖. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น *สิกขามานา เต็มแล้วสองปี
     ๗. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
     ๘. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด
*คำว่า "สิกขามานา" แปลว่า ผู้ศึกษา สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานา ก่อน ๒ ปี

 
๑. ปาราชิก มี ๘ ข้อ
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวผู้ (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
๕. นางภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการลูบ, การคลำ, การจับ, การต้อง, การบีบ, ของชายผู้มีความกำหนัด เบื้องบนตั้งแต่ใต้รากขวัญ๑ลงไป เบื้องต่ำตั้งแต่เข่าขึ้นมา
๖. นางภิกษุณีรู้ว่านางภิกษุณีอื่นต้องอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตนเอง ไม่บอกแก่หมู่คณะ ต้องอาบัติปาราชิก.
๗. นางภิกษุณีประพฤติตามภิกษุที่สงฆ์สวดประกาศยกเสียจากหมู่ เป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืน ไม่ทำตนให้เป็นสหายกับพระธรรม พระวินัย คำสอนของพระศาสดา. นางภิกษุณีนั้น อันสงฆ์พึงตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือนชี้แจง ถ้าสวดประกาศครบ ๓ ครั้ง ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัติปาราชิก.
๘. นางภิกษุณีที่เป็นคณะเดียวกัน ๖ รูป ประพฤติตนไม่สมควร มียินดีการจับมือบ้าง การจับชายสังฆาฏิบ้าง ของบุรุษ ยืนกับบุรุษบ้าง พูดจากับเขาบ้าง นัดหมายกับเขาบ้าง ยินดีการมาตามนัดหมายของเขาบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายให้เขาเพื่อเสพอสัทธรรมบ้าง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแก่นางภิกษุณีผู้ประพฤติเช่นนั้น.
[กลับขึ้นด้านบน]
๒. สังฆาทิเสส มี ๑๗ ข้อ
๑. นางภิกษุณีฟ้องความกับคฤหบดี บุตรคฤหบดี ทาส กรรมกร หรือแม้โดยที่สุดกับสมณะนักบวช ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๒. นางภิกษุณีรู้อยู่ รับสตรีซึ่งเป็นโจร อันคนทั้งหลายรู้ว่ามีโทษประหาร ให้อยู่ (ให้บวช) โดยไม่บอกเล่า พระราชา, สงฆ์, คณะ, หมู่, พวก เว้นแต่ผู้ที่สมควร (คือบวชในลัทธิอื่นแล้ว หรือบวชในสำนักนางภิกษุณีอื่นอยู่แล้ว) ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๓. นางภิกษุณีแต่ลำพังผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ตาม, ข้ามแม่น้ำก็ตาม, ค้างคืนก็ตาม, ล้าหลังแยกจากหมู่ (ในการเดินทาง) ก็ตาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๔. นางภิกษุณีไม่บอกกล่าวสงฆ์ผู้ทำการ ไม่รู้ฉันทะ (ไม่ได้รับความยินยอม) ของคณะ เปลื้องโทษ นางภิกษุณีที่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสนา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๕. นางภิกษุณีมีความกำหนัด รับของเคี้ยวของฉันจากมือบุรุษผู้มีความกำหนัด ด้วยมือของตนมาเคี้ยว มาฉัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๖. นางภิกษุณีผู้พูดจูงใจให้ย่อหย่อนพระวินัยต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๗. ห้ามกล่าวาจา บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เมื่อโกรธเคือง และเมื่อกล่าวไปแล้ว ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๘. ห้ามติเตียนภิกษุณีว่านางภิกษุณีทั้งหลาย ลุแก่อคติ ๔ และให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๙. ห้ามรวมกลุ่มกันประพฤติเสื่อมเสีย มีชื่อเสียงไม่ดี เบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ปกปิดความชั่วของกันและกันและให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๑๐. ห้ามนางภิกษุณี กล่าวกะนางภิกษุณีที่ถูกสงฆ์สวดประกาศตักเตือนถ้ามีใครขืนทำ ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน ถ้าไม่ฟัง ให้สวดประกาศเตือน ครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๑๑. ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
๑๒. แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๓. แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๔. ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๑๕. เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๖. เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง
๑๗. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
[กลับขึ้นด้านบน]
๓. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ)
๑. ห้ามสะสมบาตร ๑๖. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๒. ห้ามอธิษฐานจีวรนอกกาลและแจกจ่าย ๑๗. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๓. ห้ามชิงจีวรคืนเมื่อแลกเปลี่ยนกันแล้ว ๑๘. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
๔. ห้ามขอของอย่างหนึ่งแล้วขออย่างอื่นอีก ๑๙. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๕. ห้ามสั่งซื้อของกลับกลอก ๒๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๖. ห้ามจ่ายของผิดวัตถุประสงค์เดิม ๒๑. รับเงินทอง
๗. ห้ามขอของมาจ่ายแลกของอื่น ๒๒. ซื้อขายด้วยเงินทอง
๘. ห้ามพูดติเตียนเมื่อถูกลงโทษโดยธรรม ๒๓. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๙. ห้ามขอของของคณะมาจ่ายแลกของอื่น ๒๔. ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๑๐. ห้ามขอของบุคคลมาจ่ายแลกของอื่น ๒๕. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน ๗ วัน
๑๑. ห้ามขอผ้าห่มหนาวเกินราคา ๒๖. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๑๒. ห้ามขอผ้าห่มฤดูร้อน เกินราคา ๒๗. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๑๓. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน ๒๘. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๑๔. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว ๒๙. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๑๕. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน ๓๐. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
  [กลับขึ้นด้านบน]
๔. ปาจิตตีย์ มี ๑๖๖ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
๑.ห้ามฉันกระเทียม ๘๔. ห้ามใช้ร่มใช้รองเท้า เว้นแต่จะไม่สบาย
๒.ห้ามนำขนในที่แคบออก ที่แคบได้แก่ ขนรักแร่ และช่องให้กำเนิด ๘๕. ห้ามไปด้วยยาน เว้นแต่ไม่สบาย
(หมายเหตุ : ทั้งสองสิกขาบทนี้ เห็นได้ว่าเพื่อมิให้ถูกติว่า เลียนแบบคฤหัสถ์ เป็นการบัญญัติตามกาลเทศะ และสิ่งแวดล้อม. ตกมาถึงสมัยนี้ ความรังเกียจคงเปลี่ยนแปลงไป. สิกขาบทเหล่านี้ จึงคงอยู่ในประเภทที่ทรงอนุญาตไว้ก่อนปรินิพพานว่า ถ้าจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ถอนได้ เป็นการเปิดทางให้กาลเทศะ แต่พระสาวกสมัยสังคายนาเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ถอนกันตามชอบใจ จะยุ่งกันใหญ่ คืออาจจะไปถอนสิกขาบทที่สำคัญเข้า แต่เห็นเป็นไม่สำคัญ ฉะนั้น ท่านจึงสวดประกาศห้ามถอน เป็นการใช้อำนาจสงฆ์สั่งการ เช่นนั้น).
๓.ห้ามใช้ฝ่ามือตบกันด้วยความกำหนัด ๘๖.ห้ามใช้ผ้าหยักรั้ง
๔.ห้ามใช้สิ่งที่ทำด้วยยางไม้(คำว่า ยางไม้ กินความถึงไม้, แป้ง, ดินเหนียว โดยที่สุด แม้ใบบัว) ใส่ในช่องให้กำเนิด ๘๗.ห้ามใช้เครื่องประดับกายสำหรับหญิง
๕.ห้ามชำระ(ช่องให้กำเนิด)ลึกเกิน ๒ ข้อนิ้ว ๘๘. ห้ามอาบน้ำหอมและน้ำมีสี
๖.ห้ามเข้าไปยืนถือน้ำและพัดในขณะที่ภิกษุกำลังฉัน ๘๙. ห้ามอาบน้ำด้วยแป้งงาอบ
๗.ห้ามทำการหลายอย่างกับข้าวเปลือกดิบ (นางภิกษุณีผู้ขอเอง, ใช้ให้ขอ, ฝัดเอง, ใช้ให้ฝัด, ตำเอง, ใช้ให้ตำ ซึ่งข้าวเปลือกดิบ. หุงต้มเอง ใช้ให้หุงต้ม ฉันข้าวนั้น หรือการฉันข้าวที่ตนทำเองต้องอาบัติ) ๙๐. ห้ามให้นางภิกษุณีทาน้ำมันหรือนวด
๘.ห้ามทิ้งของนอกฝานอกกำแพง ๙๑. ห้ามให้นางสิกขามานาทาน้ำมันหรือนวด
๙.ห้ามทิ้งของเช่นนั้นลงบนของเขียวสด ๙๒. ห้ามให้สามเณรีทาน้ำมันหรือนวด
๑๐.ห้ามไปดูฟ้อนรำขับร้อง ๙๓.ห้ามให้นางคหินีทาน้ำมันหรือนวด
๑๑.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่มืด ๙๔.ห้ามนั่งหน้าภิกษุโดยไม่บอกก่อน
๑๒.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่ลับ ๙๕.ห้ามถามปัญหาภิกษุโดยไม่ขอโอกาส
๑๓.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่แจ้ง ๙๖.ห้ามเข้าบ้านโดยไม่ใช้ผ้ารัดหรือผ้าโอบ
๑๔.ห้ามทำเช่นนั้นในที่อื่นอีก (ทำเช่นนั้น คือ ภิกษุณี กับบุรุษสองต่อสอง ยืนอยู่บ้าง สนทนากันบ้าง กระซิบที่หูกันบ้าง ส่งนางภิกษุณีที่เป็นเพื่อนไปเสียบ้าง ในถนนรกบ้าง ในถนนตันบ้าง (ถนนเช่นนี้ เข้าทางไหนต้องออกทางนั้น) ในทางแยกบ้าง) ๙๗.ห้ามพูดปด
๑๕. ห้ามเข้าบ้านผู้อื่นแล้วเวลากลับไม่บอกลา ๙๘.ห้ามด่า
๑๖. ห้ามนั่งนอนบนอาสนะโดยไม่บอกเจ้าของบ้านก่อน ๙๙.ห้ามพูดส่อเสียด
๑๗. ห้ามปูลาดที่นอนในบ้านโดยไม่บอกเจ้าของบ้าน ๑๐๐.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
๑๘. ห้ามติเตียนผู้อื่นไม่ตรงกับที่ฟังมา ๑๐๑.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุณี)เกิน ๓ คืน
๑๙. ห้ามสาปแช่งด้วยเรื่องนรกหรือพรหมจรรย์ ๑๐๒.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
๒๐. ห้ามทำร้ายตัวเองแล้วร้องไห้ ๑๐๓.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
๒๑. ห้ามเปลือยกายอาบน้ำ ๑๐๔.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
๒๒. ห้ามทำผ้าอาบน้ำยาวใหญ่เกินประมาณ ๑๐๕.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
๒๓. ห้ามพูดแล้วไม่ทำ ๑๐๖.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
๒๔. ห้ามเว้นการใช้ผ้าซ้อนนอกเกิน ๕ วัน(หมายเหตุ : ตามธรรมดานางภิกษุณีมีผ้าสำหรับใช้ประจำ ๕ ผืน คือ ๑. สังฆาฏิ (ผ้าซ้อนนอก สำหรับใช้เมื่อหนาว) ๒. อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) ๓. อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ๔. สังกัจฉิกะ (ผ้ารัดหรือผ้าโอบ) ๕. อุทกสาฏิกา (ผ้าอาบน้ำ). พิจารณาดูตามสิกขาบทนี้ เป็นเชิงห้าม เว้นการใช้ผ้าซ้อนนอก คือสังฆาฏิอย่างเดียว แต่ในคำอธิบายท้ายสิกขาบท ขยายความเป็นว่า เว้นผืนใดผืนหนึ่งใน ๕ ผืน เกิน ๕ วันไม่ได้ คำว่า เว้น คือไม่นุ่งไม่ห่มหรือไม่ตากแดด). ๑๐๗.ห้ามทำลายต้นไม้
๒๕. ห้ามใช้จีวรสับกับของผู้อื่น ๑๐๘.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
๒๖. ห้ามทำอันตรายลาภจีวรของสงฆ์ ๑๐๙.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
๒๗. ห้ามยับยั้งการแบ่งจีวรอันเป็นธรรม ๑๑๐.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๒๘. ห้ามให้สมณจีวรแก่คฤหัสถ์หรือนักบวช ๑๑๑.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
๒๙. ห้ามทำให้กิจการชะงักด้วยความหวังลอย ๆ ๑๑๒.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
๓๐. ห้ามคัดค้านการเพิกถอนกฐินที่ถูกธรรม ๑๑๓.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
๓๑. ห้ามนอนบนเตียงเดียวกันสองรูป ๑๑๔.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
๓๒. ห้ามใช้เครื่องปูลาดและผ้าห่มร่วมกันสองรูป ๑๑๕.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
๓๓. ห้ามแกล้งก่อความรำคาญแก่นางภิกษุณี ๑๑๖.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
๓๔. ห้ามเพิกเฉยเมื่อศิษย์ไม่สบาย ๑๑๗.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
๓๕. ห้ามฉุดคร่านางภิกษุณีออกจากที่อยู่ ๑๑๘.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
๓๖. ห้ามคลุกคลีกับคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ๑๑๙.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๓๗. ห้ามเดินทางเปลี่ยวตามลำพัง ๑๒๐.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘. ห้ามเดินทางเช่นนั้นนอกแว่นแคว้น ๑๒๑.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๓๙. ห้ามเดินทางภายในพรรษา ๑๒๒.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
๔๐. ห้ามอยู่ประจำที่เมื่อจำพรรษาแล้ว ๑๒๓.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๔๑. ห้ามไปดูพระราชวังและอาคารอันวิจิตร เป็นต้น ๑๒๔.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
๔๒. ห้ามใช้อาสันทิและบัลลังก์ ๑๒๕.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๔๓. ห้ามกรอด้าย ๑๒๖.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๔๔. ห้ามรับใช้คฤหัสถ์ ๑๒๗.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
๔๕. ห้ามรับปากแล้วไม่ระงับอธิกรณ์ ๑๒๘.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๔๖. ห้ามให้ของกินแก่คฤหัสถ์ เป็นต้น ด้วยมือ ๑๒๙.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๗. ห้ามใช้ผ้านุ่งสำหรับผู้มีประจำเดือนเกิน ๓ วัน ๑๓๐.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๔๘. ห้ามครอบครองที่อยู่เป็นการประจำ ๑๓๑.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๔๙. ห้ามเรียนติรัจฉานวิชชา ๑๓๒.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๕๐. ห้ามสอนติรัจฉานวิชชา ๑๓๓.ห้ามจี้ภิกษุ
๕๑. ห้ามเข้าไปในวัดที่มีภิกษุโดยไม่บอกล่วงหน้า ๑๓๔.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๕๒. ห้ามด่าหรือบริภาษภิกษุ ๑๓๕.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๕๓. ห้ามบริภาษภิกษุณีสงฆ์ ๑๓๖.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๕๔. ห้ามฉันอีกเมื่อรับนิมนต์หรือเลิกฉันแล้ว ๑๓๗.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๕๕. ห้ามพูดกีดกันภิกษุณีอื่น ๑๓๘.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆ เว้นแต่มีเหตุ
๕๖. ห้ามจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ๑๓๙.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๕๗. ห้ามการขาดปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย ๑๔๐.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๕๘. ห้ามการขาดรับโอวาทและการขาดการอยู่ร่วม ๑๔๑.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๕๙. ห้ามการขาดถามอุโบสถและการไปรับโอวาท ๑๔๒.ห้ามฆ่าสัตว์
๖๐. ห้ามให้บุรุษบีบฝี ผ่าฝี เป็นต้น ๑๔๓.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๖๑. ห้ามให้บวชแก่หญิงมีครรภ์ ๑๔๔.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง) ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๖๒. ห้ามให้บวชแก่หญิงที่ยังมีเด็กดื่มนม ๑๔๕.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๖๓. ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาซึ่งศึกษายังไม่ครบ ๒ ปี ๑๔๖.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๖๔. ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาที่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ ๑๔๗.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๖๕. ห้ามให้บวชแก่หญิงที่มีสามีแล้ว แต่อายุยังไม่ถึง ๑๒ ๑๔๘.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๖๖. ห้ามให้บวชแก่หญิงเช่นนั้นอายุครบ ๑๒ แล้ว (หมายความถึงตามข้อ 65) แต่ยังมิได้ศึกษา ๒ ปี ๑๔๙.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๖๗. ห้ามให้บวชแก่หญิงเช่นนั้นที่ศึกษา ๒ ปีแล้ว(หมายความถึงตามข้อ 65) แต่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ ๑๕๐.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๖๘. ห้ามเพิกเฉยไม่อนุเคราะห์ศิษย์ที่บวชแล้ว ๑๕๑.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๖๙. ห้ามนางภิกษุณีแยกจากอุปัชฌายะ คือไม่ติดตามครบ ๒ ปี ๑๕๒.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๗๐. ห้ามเพิกเฉยไม่พาศิษย์ไปที่อื่น ๑๕๓.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๗๑. ห้ามให้บวชแก่หญิงสาวที่อายุไม่ครบ ๒๐ ปี (หมายเหตุ : พึงสังเกตว่า หญิงที่มีสามีแล้ว อายุครบ ๑๒ จะบวชเป็นนางภิกษุณี ต้องเป็นนางสิกขมานาศึกษาอยู่อีก ๒ ปี จนอายุครบ ๑๔ ปีบริบูรณ์แล้ว จึงบวชเป็นนางภิกษุณีได้ แต่ถ้ายังมิได้สามี ต้องอายุครบ ๒๐ จึงบวชได้. แต่ก่อนจะบวชเป็นนางภิกษุณี จะต้องเป็นนางสิกขมานา ๒ ปี ทุกรายไป. ฉะนั้น หญิงที่ประสงค์จะบวชเป็นนางภิกษุณี เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จะต้องบวชเป็นสามเณรี และเป็นนางสิกขมานาก่อนอายุครบ เพื่อไม่ต้องยึดเวลาเป็นนางสิกขมานาเมื่ออายุครบแล้ว) ๑๕๔.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๗๒. ห้ามบวชหญิงที่อายุครบ แต่ยังมิได้ศึกษาครบ ๒ ปี ๑๕๕.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๗๓. ห้ามบวชหญิงที่ศึกษาครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ๑๕๖.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๗๔. ห้ามเป็นอุปัชฌาย์เมื่อพรรษาไม่ครบ ๑๒ ๑๕๗.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๗๕. ห้ามเป็นอุปัชฌาย์โดยที่สงฆ์มิได้สมมติ ๑๕๘.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๗๖. ห้ามรับรู้แล้วติเตียนในภายหลัง ๑๕๙.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๗๗. ห้ามรับปากว่าจะบวชให้ แล้วกลับไม่บวชให้ ๑๖๐.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๗๘. ห้ามรับปากแล้วไม่บวชให้ในกรณีอื่น ๑๖๑.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๗๙. ห้ามบวชให้นางสิกขมานาที่ประพฤติไม่ดี ๑๖๒.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๘๐. ห้ามบวชให้นางสิกขมานา ที่มารดาบิดาหรือสามีไม่อนุญาต ๑๖๓.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๘๑. ห้ามทำกลับกลอกในการบวช ๑๖๔.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๘๒. ห้ามบวชให้คนทุกปี ๑๖๕.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๘๓. ห้ามบวชให้ปีละ ๒ คน ๑๖๖.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
  [กลับขึ้นด้านบน]
๕. ปาฏิเทสนียะ มี ๘ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)

๑. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค เนยใส

๕. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค ปลา
๒. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำมัน ๖. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภคเนื้อ
๓. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำผึ้ง ๗. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นม
๔. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำอ้อย ๘. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นมสด
  [กลับขึ้นด้านบน]
๖. เสขิยะ : ข้อที่ภิกษุณีพึงศึกษาเรื่องมารยาท ๗๕ ข้อ แบ่งเป็น ๔ หมวดคือ
หมวดที่ ๑ : สารูป (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) มี ๒๖ ข้อ
๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล
(ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน) ๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน ๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน ๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน ๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน ๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่) ๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน ๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน ๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน ๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน ๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน ๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน ๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
  [กลับขึ้นด้านบน]

หมวดที่ ๒ : โภชนปฏิสังยุตต์ (ว่าด้วยการฉันอาหาร) มี ๓๐ ข้อ
๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ ๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร ๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป) ๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร ๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ ๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร ๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง) ๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป ๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป ๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก ๒๕.ไม่ฉันดังซูด ๆ
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้ ๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ ๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป ๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม ๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง ๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
  [กลับขึ้นด้านบน]

หมวดที่ ๓ : ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ (ว่าด้วยการแสดงธรรม) มี ๑๖ ข้อ
๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้) ๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า ๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน ๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลัง ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน ๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทาง ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
  [กลับขึ้นด้านบน]

หมวดที่ ๔ : ปกิณณกะ (เบ็ดเตล็ด) มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุณีไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุณีไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุณีไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
[กลับขึ้นด้านบน]
๗. อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
[กลับขึ้นด้านบน]

      ...

   ธรรมะบรรยายเกี่ยวกับการรักษาศีล
อริยสัจ ๔ และปฏิบัติศีลวัตร โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ คลิกฟัง
มีศีลมีปัญญา โดย พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) คลิกฟัง
ให้ศีลรักษาเรา โดย พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) คลิกฟัง
ศีลวิสุทธิ โดย พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) คลิกฟัง
อย่าละเมิดศีล โดย พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) คลิกฟัง
กลิ่นของศีล โดย พระโพธิธรรมาจารย์เถระ (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) คลิกฟัง
ศีลานุสติ โดย พระโพธิธรรมาจารย์เถระ (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) คลิกฟัง
เจริญอสุภะชำระจิตด้วยศีล โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) คลิกฟัง
ศีลสังวร โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) คลิกฟัง
ให้เคารพศีล วินัย เสียสละ โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) คลิกฟัง
ศีลบารมี โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) คลิกฟัง
เมื่อศีลบริสุทธิ์ โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) คลิกฟัง

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก